การวัดสัญญาณชีพขั้นพื้นฐาน มีอะไรบ้าง และบอกอะไรเราอยู่?
การวัดสัญญาณชีพ เป็นขั้นตอนแรกที่คนไข้มักจะเจอเมื่อไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่วัดค่าสัญญาณชีพเหล่านั้นไปทำไม และแต่ละค่าบ่งบอกถึงอะไรได้บ้าง หาคำตอบได้ในบทความนี้เลย
สัญญาณชีพ คืออะไร

สัญญาณชีพ คือ สัญญาณของการมีชีวิต เป็นค่าที่บ่งบอกถึงการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน และมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ แปรผันด้วยหลายปัจจัย เช่น เพศ อายุ น้ำหนักตัว ไลฟ์สไตล์ ความแข็งแรงของร่างกาย อาหาร กิจกรรม อารมณ์ ฯลฯ สัญญาณชีพจึงถูกนำมาใช้ประเมินความผิดปกติของร่างกาย ควบคู่กับการตรวจวินิจฉัยอื่นๆ เพื่อการป้องกันและรักษาได้ทันเวลา
สัญญาณชีพปกติ แต่ละช่วงวัย

ค่าสัญญาณชีพปกติของแต่ละวัยนั้นมีความแตกต่างกัน การอ่านค่าสัญญาณชีพจึงต้องดูไปตามเกณฑ์ของแต่ละช่วงวัย ไม่ใช่ดูที่ค่ามาตรฐานเพียงอย่างเดียว เช่น ค่าชีพจรของผู้ใหญ่อยู่ที่ 60-100 ครั้งต่อนาที ในขณะที่ทารกและเด็กเล็กมีค่าชีพจรสูงกว่าอยู่ที่ 90-140 ครั้งต่อนาที เนื่องจากหัวใจของเด็กมีขนาดเล็ก จึงต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือด และร่างกายยังมีอัตราการเผาผลาญที่มากกว่าผู้ใหญ่ การที่ชีพจรของเด็กเต้นเร็วจึงไม่ถือว่าผิดปกติ
วัดสัญญาณชีพเพื่ออะไร

การวัดค่าสัญญาณชีพทั้งหมด เพื่อตรวจดูการทำงานของร่างกาย ซึ่งไม่เพียงแต่จะใช้หาความผิดปกติ หรือคัดกรองโรคเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้สังเกตการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังผ่าตัด ก่อนและหลังได้รับยา ประเมินความรุนแรงของอาการ หรือติดตามผลการรักษาได้อีกด้วย
สัญญาณชีพประกอบด้วยอะไรบ้าง

องค์ประกอบของสัญญาณชีพ ประกอบไปด้วย 4 สัญญาณสำคัญ ได้แก่
1. สัญญาณชีพความดันโลหิต
ค่าความดันโลหิต คือแรงดันในหลอดเลือดขณะที่เกิดจากการสูบฉีดของหัวใจ ซึ่งเวลาวัดจะได้ตัวเลข 2 ค่า คือ ตัวเลขข้างบน หรือ Systolic หมายถึง ค่าความดันขณะที่หัวใจบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่วนตัวเลขข้างล่าง หรือ Diastolic หมายถึง ค่าความดันขณะที่หัวใจคลายตัว สำหรับคนทั่วไปค่าความดันตัวบนไม่ควรเกิน 120 และค่าความดันตัวล่างไม่ควรเกิน 80
หากเลขตัวบนมากกว่า 140 และเลขตัวล่างมากกว่า 90 จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง และอาจทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ยิ่งค่าที่ได้สูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น
แต่หากเลขตัวบนต่ำกว่า 90 และเลขตัวล่างต่ำกว่า 60 เรียกว่าภาวะความดันโลหิตต่ำ ซึ่งเกิดได้ในทุกเพศทุกวัย มักมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนน้อย ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ไม่ได้ออกกำลังกาย ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ อ่อนเพลีย ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม ส่วนใหญ่สามารถหายได้เองเมื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ค่าความดันที่วัดได้ยังขึ้นอยู่ปัจจัยหลายอย่าง เช่น เพศ อายุ กิจกรรมที่ทำ การออกกำลังกาย การวัดค่าความดันให้ได้ค่าที่แม่นยำ จึงควรนั่งพักก่อนประมาณ 5-15 นาที งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และงดออกกำลังกาย 30 นาทีก่อนวัด
2. อุณหภูมิ
ร่างกายเปรียบเสมือนเครื่องจักร เมื่อมีการทำงานจึงเกิดความร้อน แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลไกในการระบายความร้อนด้วยเช่นกัน ร่างกายที่มีอุณหภูมิปกติ หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 36.5-37.5 องศาเซลเซียส หรือ 97.7-99.5 องศาฟาเรนไฮต์ จึงถือเป็นร่างกายที่มีความสมดุล อย่างไรก็ตามการที่อุณหภูมิร่างกายแตกต่างจากนี้เล็กน้อย ก็อาจจะไม่ได้บ่งชี้ถึงความผิดปกติเสมอไป เพราะอุณหภูมิร่างกายยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่นเดียวกับค่าสัญญาณชีพอื่นๆ ทั้งอายุ เพศ การออกกำลังกาย อาหารที่กิน ช่วงเวลาที่วัด เป็นต้น จึงต้องสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
3. ชีพจร
ชีพจร คืออัตราการเต้นของหัวใจที่ทำให้ผนังหลอดเลือดขยายตัว และเกิดการสั่นสะเทือนเป็นจังหวะ การจับชีพจรจึงทำให้ทราบว่าหัวใจเต้นจำนวนกี่ครั้งต่อนาที โดยคนปกติจะมีชีพจรขณะพักอยู่ที่ประมาณ 60 -100 ครั้งต่อนาที ทั้งนี้ชีพจรมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด หากมีการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง มีความเครียด กังวล ตื่นเต้น ชีพจรก็จะเต้นเร็วขึ้น แต่หากมีอาการผิดปกติร่วมด้วย เช่น เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย หรืออยู่เฉยๆ แต่ชีพจรกลับเต้นเร็ว แสดงว่ามีความผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษา เช่นเดียวกับผู้ที่ชีพจรเต้นช้ามาก หากมีอาการวิงเวียน หน้ามืด เป็นลม ช็อกหมดสติ ท้องเสียรุนแรง ควรรีบปฐมพยาบาลและพาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
4. อัตราการหายใจ
อัตราการหายใจ ไม่ใช่อัตราการเต้นของหัวใจ แต่เป็นจำนวนครั้งในการหายใจเข้าและออก ซึ่งจะสะท้อนถึงการทำงานของปอดและระบบทางเดินหายใจ รวมถึงการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สมดุล โดยจะนับการหายใจเข้าและออกรวมกันเป็น 1 ครั้ง อัตราการหายใจของผู้ใหญ่ในขณะพักเฉลี่ยจะอยู่ที่ 12-20 ครั้งต่อนาที ส่วนเด็กจะมีอัตราการหายใจที่มากกว่า หากอยู่ในขณะพักแต่มีการหายใจที่เร็วและแรง หรือหายใจไม่สะดวก ต้องออกแรงมาก ก็เป็นไปได้ว่าอาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
ทั้งนี้สัญญาณชีพจรเป็นความรู้รอบตัวที่ทุกคนควรรู้ตำแหน่งและควรรู้เกี่ยวกับอัตราการเต้นว่ามีค่าปกติอยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อที่จะสามารถช่วยดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุที่บ้านได้อย่างถูกวิธี หรือหากใครที่ไม่มีความรู้สามารถให้ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เอเชียเนอร์สซิ่งโฮม Asia Nursing Home ให้คำปรึกษาหรือช่วยฝึกให้คุณสามารถดูแลผู้ป่วยที่บ้านได้ หากสนใจใช้บริการสามารถติดต่อได้ที่ 084 458 4591 Facebook หรือ Email : asianursinghome@gmail.com
คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับสัญญาณชีพ
อุปกรณ์ในการวัดสัญญาณชีพมีอะไรบ้าง
– ปรอทวัดอุณหภูมิ
– เครื่องวัดความดัน
– นาฬิกาจับเวลา
– สมุดจดบันทึก
การเต้นของสัญญาณชีพในภาวะปกติในผู้ใหญ่จะเต้นกี่ครั้งต่อนาที
หากพูดถึงสัญญาณชีพเฉยๆ ส่วนมากจะหมายถึงชีพจร ซึ่งในภาวะปกติ หรือขณะพัก ชีพจรของผู้ใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 60 -100 ครั้งต่อนาที